✎นพ.สุวิวัฒน์ บุนนาค
✎รศ.จันทนี อิทธิพานิชพงศ์
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
ยาวาร์ฟาริน (warfarin) เป็นยาต้านการแข็งตัวชนิดกิน เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการป้องกันและรักษาภาวะอุดตันของหลอดเลือดจากสาเหตุต่างๆ นอกจากนี้ต้องระมัดระวังในการใช้ยาและตระหนักถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติระหว่างการใช้ยา เพื่อให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย อ้างอิงจากแนวทางการรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน ของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สิ่งที่จำเป็นต้องรู้สำหรับผู้ที่ต้องกินยาวาร์ฟารินอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
- ยาวาร์ฟาริน (warfarin) คืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร
- ทำไมต้องกินยานี้
- ความสำคัญของการกินยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
- ระยะเวลาที่ต้องกิน
- วิธีปฏิบัติตัวหากลืมกินยา
- ความหมายและเป้าหมายของ INR และความสำคัญของการตรวจ INR อย่างสม่ำเสมอ
- อาหารที่มีวิตามินเค (vitamin K)สูง อาหารเสริมและยาที่มีผลต่อการใช้ยาวาร์ฟาริน
- การวางแผนหากตั้งครรภ์
- อาการของภาวะเลือดออกง่าย ลิ่มเลือดอุดตัน
- การปฏิบัติตัว สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
1. ยาวาร์ฟาริน (warfarin) คืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร
ยาวาร์ฟาริน (warfarin) เป็นยาต้านการแข็งตัวชนิดกิน ใช้ป้องกันการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ
มีวัตถุประสงค์สำหรับป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดการอุดตันระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย
มีวัตถุประสงค์สำหรับป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดการอุดตันระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย
ยาออกฤทธิ์ต้านการทำงานของวิตามินเค (vitamin K) ซึ่งเป็นวิตามินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบการแข็งตัวของเลือด
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
2. ทำไมต้องกินยานี้
สำหรับผู้ป่วยบางคนที่มีสภาวะเกิดลิ่มเลือดได้ง่ายกว่าผู้อื่น จำเป็นต้องได้รับยาวาร์ฟารินเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาหตุของการอุดตันที่อวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ สมองและก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
ข้อบ่งชี้ของการใช้ยาวาร์ฟารินประกอบด้วย
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ชนิด Atrial fibrillation)
- ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดในปอด (Pulmonary embolism) แขนหรือขา (Deep vein thrombosis)
- หลอดเลือดสมองอุดตันจากลิ่มเลือด
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (เช่นการขาดโปรตีน C, โปรตีน S)
- ผู้ป่วยหลังผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Mechanical prosthetic heart valve)
3. ความสำคัญของการกินยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยต้องกินยาวาร์ฟารินอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด ไม่ลดหรือเพิ่มขนาดยาเอง และกินยาในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อให้ยาออกฤทธิ์คงที่ โดยจะกินยาเวลาใดก็ได้ และกินยาก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
เนื่องจากแต่ละคนมีระดับยาในเลือดที่เหมาะสมสำหรับการรักษาแตกต่างกันไป บางครั้งในแต่ละวันอาจต้องกินยาในขนาดไม่เท่ากัน โดยจะพิจารณาจากขนาดยารวมที่ได้รับต่อสัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ปรับขนาดยาให้ผู้ป่วยแต่ละคน
แนะนำให้ใช้กล่องใส่ยาสำหรับผู้ป่วย (pill box) หรือใช้ปฏิทินใน Application ของ smartphone เพื่อช่วยในการจดจำการกินยา นอกจากนี้ ยาวาร์ฟารินมีหลากหลายขนาด แต่ละขนาดยาจะเป็นสีที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการใช้ยาผิดขนาดซึ่งจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยไม่ว่าจะได้รับยาในขนาดน้อยเกินไปหรือมากเกินไป
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
4. ระยะเวลาที่ต้องกินยา
ส่วนใหญ่ต้องกินยาตลอดชีวิต ยกเว้นแพทย์สั่งให้หยุดสำหรับบางภาวะหรือครบเวลาการรักษา หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาและเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยคือมีเลือดออกผิดปกติเช่น เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด ประจำเดือนมากผิดปกติ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้มาพบแพทย์เพื่อเจาะเลือดดูค่าของ INR ว่ามากเกินไปหรือไม่
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
5. วิธีปฏิบัติตัวหากลืมกินยา
หากลืมกินยาไม่เกิน 12 ชั่วโมง ให้กินยาทันทีที่นึกได้ในขนาดยาเท่าเดิม
หากลืมกินยาไม่เกิน 12 ชั่วโมง ให้กินยาทันทีที่นึกได้ในขนาดยาเท่าเดิม
หากลืมกินยาเกิน 12 ชั่วโมงขึ้นไปหรือใกล้เวลากินยามื้อต่อไป ให้ข้ามยามื้อที่ลืมและกินยามื้อต่อไปในขนาดเท่าเดิม ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า เนื่องจากยาวาร์ฟารินมีค่าครึ่งชีวิต 40 ชั่วโมง ดังนั้นการลืมกินยาไป 1 ครั้ง อาจไม่ส่งผลต่อระดับยาในเลือดมากนัก
บันทึกทุกครั้งที่ลืมกินยา แล้วนำมาแจ้งแพทย์เพื่อใช้วางแผนการปรับยา
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
6. ทราบถึงความหมายและเป้าหมายของ INR และความสำคัญของการตรวจ INR อย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ผู้ป่วยใช้ยาวาร์ฟารินอยู่ ต้องมีการติดตามผลการรักษาและป้องกันให้เกิดอันตรายจากฤทธิ์ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด
ที่อาจเกิดมากเกินไป จนเกิดอันตรายจากเลือดออก โดยการติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ คือค่า INR
ที่อาจเกิดมากเกินไป จนเกิดอันตรายจากเลือดออก โดยการติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ คือค่า INR
INR (International normalize ratio) หรือ ไอ-เอ็น-อาร์ เป็นการวัดระดับการแข็งตัวของเลือด หากค่าสูงเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออกในอวัยวะต่างๆ หากค่าต่ำเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากลิ่มเลือดอุดตันได้
ต้องตรวจ INR เป็นระยะๆ ตลอดและทุกครั้งที่มารับยา เนื่องจากยาวาร์ฟารินเป็นยาที่มีระดับยาในเลือดที่ให้ผลในการรักษาและการเกิดพิษใกล้เคียงกันมาก ในระยะแรกอาจต้องเจาะเลือดทุกวันหรือทุก 1-2 สัปดาห์ หากระดับ INR คงที่แล้วอาจตรวจเลือดห่างขึ้นได้ เช่น ทุก 1-3 เดือน
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
7. อาหารที่มีวิตามินเคสูง อาหารเสริมและยาที่มีผลต่อการใช้ยาวาร์ฟาริน
อาหารที่ทำให้ฤทธิ์ของยาวาร์ฟารินเพิ่มขึ้น เช่น แปะก๊วย สมุนไพรจีน น้ำมันปลา มะม่วง มะละกอ ตังกุย น้ำเกรปฟรุ้ต กระดูกอ่อน เนื่องจากอาหารดังกล่าวจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้กำจัดยาวาร์ฟาริน หากการทำงานของเอนไซม์ลดลง จะทำให้ระดับยาวาร์ฟารินเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดเลือดออกได้ง่าย
อาหารที่มีวิตามินเคสูง จะทำให้ฤทธิ์ของยาวาร์ฟารินลดลง เช่น บรอคโคลี กะหล่ำปลี ผักคะน้า ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง ผักโขม อาโวคาโด นมถั่วเหลือง โสม ชาเขียว
ยาวาร์ฟารินมีอันตรกิริยากับยาอื่นๆ ได้หลายชนิด ทั้งยาชนิดอื่นๆที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อเองจากร้านขายยา อาหารเสริมต่างๆ วิตามิน ดังนั้นหากจำเป็นต้องได้รับยาอื่นๆ ร่วมด้วย ให้แจ้งและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาอื่นด้วยเสมอ ยาที่ควรหลีกเลี่ยงการให้ร่วมกับวาร์ฟาริน เช่น ยาแอสไพริน (ทัมใจ บูรา) ยาแก้ปวดลดการอักเสบในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนสมุนไพร
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
8. การวางแผนหากตั้งครรภ์
ยาวาร์ฟารินสามารถผ่านรกไปสู่ทารกใรครรภ์มารดาได้ จึงมีผลต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือดของทารก เช่น อาจทำให้ทารกเกิดภาวะเลือดออก นอกจากนี้ยาวาร์ฟารินยังรบกวนการสร้างกระดูกและกระดูกอ่อนของทารกในครรภ์มารดาอีกด้วย ดังนั้นยาวาร์ฟารินจึงมีข้อห้ามใช้สำหรับสตรีตั้งครรภ์ทุกระยะ
หากผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์แล้วกินยาวาร์ฟาริน หรือหญิงที่กินยาวาร์ฟารินอยู่มีแผนที่ต้องการตั้งครรภ์ ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบด้วยเสมอเพื่อการวางแผนการรักษาต่อไป โดยยาที่สามารถใช้แทนได้จะเป็นยา Heparin หรือ low molecular weight heparin ซึ่งเป็นยายับยั้งการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ผ่านรก และสามารถเริ่มยาวาร์ฟารินได้อีกครั้งหลังจากคลอดบุตรแล้ว
ถึงแม้ว่ายาวาร์ฟารินจะไม่ผ่านน้ำนม ผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตรควรจะแจ้งแพทย์เสมอหากต้องให้นมบุตร
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
9. อาการของภาวะเลือดออกง่าย ลิ่มเลือดอุดตัน
- อาการของภาวะเลือดออก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการได้รับยาวาร์ฟารินเกินขนาด แบ่งออกเป็น
- อาการของภาวะเลือดออกเล็กน้อย ได้แก่ เกิดแผลฟกช้ำง่าย เลือดกำเดาไหลง่าย เลือดออกตามเหงือกและไรฟันหลังการแปรงฟันปกติ ประจำเดือนมานานและมากกว่าปกติ สำหรับอาการดังกล่าว ผู้ป่วยควรมีวินัยในการกินยาวาร์ฟารินมากขึ้น หากอาการเป็นมากขึ้นให้ปรึกษาแพทย์และอาจต้องตรวจค่า INR ว่ามากกว่าปกติหรือไม่
- อาการของภาวะเลือดออกรุนแรง ได้แก่ ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน ไอมีเลือดปน ปวดศีรษะมาก มีอาการบวมตามแขนขาหลังจากเกิดแผล สำหรับอาการดังกล่าว ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หรือไปยังห้องฉุกเฉินทันที
- อาการของภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการได้รับยาวาร์ฟารินในขนาดที่ไม่ได้ผลในการรักษา ได้แก่ แขนขาบวม สีผิวเปลี่ยนแปลง (ลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดดำ) อาการปวดศีรษะเฉียบพลัน หรือเวียนศีรษะหน้ามืด (ลิ่มเลือดอุดตันที่ศีรษะ) หายใจลำบากหรือหายใจเร็ว เจ็บหน้าอก (ลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด) เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์ทันที
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
10. การปฏิบัติตัว สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยที่กินยาวาร์ฟาริน
- ต้องระลึกอยู่เสมอว่า การบาดเจ็บทุกอย่างสามารถทำให้เลือดออกมากกว่าบุคคลทั่วไป
- ระมัดระวังไม่ให้เกิดรอยแผลฉีกขาดที่ผิวหนัง เช่น มีดบาด มีดโกนปาดผิวหนัง อาจใช้เครื่องโกนแบบไฟฟ้าแทนแบบด้ามมีด
- ระมัดระวังเรื่องการใช้มีดหรืออุปกรณ์ที่มีความคม อาจใส่ถุงมือเพื่อป้องกันการเกิดบาดแผล
- ระมัดระวังกิจกรรมหรือกีฬาที่มีการกระทบกระแทก หรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูง
- ระมัดระวังสิ่งรอบตัวอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ระวังพื้นที่ลื่น เป็นการระวังการลื่นล้ม ระวังการเดินหรือการกระแทกขอบโต๊ะ ตู้ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีขอบแหลม
- สวมหมวกกันน็อคทุกครั้งที่ขับขี่จักรยานหรือจักรยานยนต์
- หลีกเลี่ยงการนวดรุนแรง
- หากเกิดบาดแผลเลือดออก ให้ห้ามเลือดโดยใช้ผ้าสะอาดหรือก๊อซกดปากแผลไว้เลือดจะหยุดไหลหรือไหลออกลดลง หากเลือดไม่หยุด ให้ไปพบแพทย์และแจ้งว่ากินยาวาร์ฟาริน
- หยุดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- แจ้งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรว่ากินยาวาร์ฟาริน ทุกครั้งเมื่อเข้ารับบริการ
- หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้าม
- หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรืออาหารเสริมต่างๆ เนื่องจากอาจมีผลต่อยาวาร์ฟาริน ยกเว้น แพทย์สั่ง
- เก็บรักษายาวาร์ฟารินในกระปุกทึบแสงหรือภาชนะที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ หลีกเลี่ยงการวางกระปุกในที่กลางแจ้ง ถูกแสงแดดโดยตรงหรือบบริเวณที่ร้อนจัด เย็นจัด หรือที่ชื้น
- เก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- พกบัตรประจำตัวหรือสมุดคู่มือยาวาร์ฟารินติดตัวเสมอเพื่อดูแลตัวเองและแสดงให้บุคลากรทางสาธารณสุขทราบเกี่ยวกับประวัติการใช้ยา
░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░░
References
- สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. แนวทางการรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน. 2553.
- คณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคหัวใจ คู่มือการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพสาขาโรคหัวใจ เรื่อง การบริหารจัดการหน่วยดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Warfarin Clinic Management). บริษัท โอ-วิทย์ (ประเทศไทย) จำกัด; 2559.
- Witt D, Clark N, Kaatz S, Schnurr T, Ansell J. Guidance for the practical management of warfarin therapy in the treatment of venous thromboembolism. Journal of Thrombosis and Thrombolysis. 2016;41(1):187-205.
- Hull RD, Garcia DA, Vazquez SR. Patient education: Warfarin (Coumadin) (Beyond the Basics). In: UpToDate, Post TW (Ed), UpToDate, Waltham, MA. (Accessed on June 10, 2020.)
- A Patient's Guide to Taking Warfarin [Internet]. www.heart.org. 2020 [cited 10 June 2020]. Available from: https://www.heart.org/…/prevention--treatment-of-arrhythmia…
No comments:
Post a Comment