การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
นพ. สุวิวัฒน์ บุนนาค
ผศ.ดร.พญ.วรรณรัศมี เกตุชาติ
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
เป็นการคุมกำเนิดโดยการใช้ฮอร์โมนเพศหรือวิธีการอื่นๆ
เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แบบไม่พึงประสงค์จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
การคุมเนิดแบบไม่ถูกวิธี หรือใช้ในกลุ่มของบุคคลที่ได้รับการคุกคามทางเพศ
ยาคุมกำเนิดชนิดกิน
(Oral
contraceptive pills หรือ Oral contraceptives)
เป็นยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนและ/หรือโปรเจสเตอโรน
ซึ่งต่างก็เป็นฮอร์โมนที่มีอยู่ในร่างกายของเพศหญิง
โดยระดับของฮอร์โมนจะมีระดับะเปลี่ยนแปลงไปตามรอบเดือน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ทำให้เกิดประจำเดือนในผู้หญิง
องค์การอนามัยโลกได้แนะนำวิธีการคุมกำเนิดฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพสูงและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา
ประกอบด้วย ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดรับประทาน และห่วงอนามัย
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
(Emergency
contraception pill) ออกฤทธิ์โดยการป้องกันการตกไข่หรือทำให้ตกไข่ช้าลงซึ่งกลไกนี้จะเกิดขึ้นหากรับประทานในช่วงก่อนการตกไข่
หากรับประทานหลังช่วงตกไข่ไปแล้วจะไม่สามารถยับยั้งการตกไข่ได้
แต่จะมีผลต่อปากมดลูกโดยทำให้เกิดความข้นเหนียว
รวมทั้งทำให้โพรงมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อนโดยมีการเปลี่ยนแปลงที่เยื่อบุผิวของโพรงมดลูก
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินประกอบด้วย
a. Yuzpe
method ประกอบด้วย Ethinyl estradiol 0.1 มิลลิกรัม
และ Levonorgestrel 0.5 มิลลิกรัม
โดยกินยาเม็ดแรกหลังมีเพศสัมพันธ์ทันทีภายใน 72 ชั่วโมง
หลังมีเพศสัมพันธ์ เม็ดที่สองกินในอีก 12 ชั่วโมงต่อมา
ประสิทธิภาพจะดีเมื่อกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเนื่องจากการรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนในขนาดสูงจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
อาเจียน นอกจากนี้อาจหายาเม็คคุมกำเนิดชนิดฮฮร์โมนรวมที่จะนำมารับประทานแบบ Yuzpe
method ได้ยากเนื่องจากต้องมีปริมาณเอสโตรเจนถึง 0.1 มิลลิกัมอาจจะต้องรับประทานพร้อมกันหลายเม็ดเนื่องจากยาคุมกำเนิดในปัจจุบันพยายามปริมาณเอสโตรเจนในเม็ดยาลง
เช่นเม็ดนึงมีปริมาณเอสโตรเจน 20-35 มิไมโครกรัม อาจจะต้องกินพร้อมกัน 3-5 เม็ด
เนื่องจากปัจจุบันมียาคุมชนิดที่มีเอสโตรเจนสูง 50 ไมโครกรัมเพียงไม่กี่ชนิด
b. ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินโปรเจสเตอโรนขนาดสูง
(Levonorgestrel)
มีวิธีการกินสองวิธีคือ กินยาขนาด 1.5 มิลลิกรัม
กินครั้งเดียวหลังมีเพศสัมพันธ์ 72 ชั่วโมง หรือกินยาขนาด 0.75
มิลลิกรัม กินสองครั้ง เม็ดแรกกินทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์
เม็ดที่สองกินห่างจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงและอาการข้างเคียงน้อยกว่า
Yuzpe method จึงเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด
2. ห่วงอนามัย
(intrauterine
device: IUD) ใช้โดยการสอดใส่ห่วงอนามัยสู่โพรงมดลูกภายในเวลา 5
วัน หลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีทั้งหมด 2 ประเภท
a. ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดง
(Copper-containing
IUD) ประกอบด้วยชนิด multiload 250 คุมกำเนิดได้
3 ปี multiload 375 คุมกำเนิดได้ 5
ปี และ Copper-T 380 คุมกำเนิดได้ 10 ปี คาดว่าออกฤทธิ์โดยการทำให้เกิดการอักเสบในโพรงมดลูกจากสิ่งแปลกปลอมในโพรงมดลูก
ทำให้ขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนและเยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัว
b. ห่วงอนามัยชนิดหลั่ง
progestin
ประกอบด้วย levonorgestrel-releasing IUD ชนิด
mirena มีองค์ประกอบหลักเป็น levonorgestrel 53 มิลลิกรัม คุมกำเนิดได้ 5 ปี ออกฤทธิ์คล้ายกับห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดง
นอกจากนี้ยังทำให้บริเวณของปากมดลูกข้นเหนียว ป้องกันการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเข้าไปในมดลูก
ผลข้างเคียง
ยาคุมกำเนิดประเภท
Yuzpe
method ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดประเภทฮอร์โมนรวม มีอาการข้างเคียงคือ
คลื่นไส้อาเจียน ส่วนยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิด Levonorgestrel พบอาการข้างเคียงคือคลื่นไส้อาเจียน
ปวดศีรษะ นอกจากนี้ยังทำให้มีเลือดออกผิดปกติ
การใส่ห่วงอนามัยสามารถพบผลข้างเคียงได้คือ เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
ตกขาวมากขึ้น หรือมีการติดเชื้อหรือภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ปวดท้องน้อย
ประสิทธิภาพ
สำหรับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่กินหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์
หากกินยาเร็วเพียงใดประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก็จะมากขึ้น
โดยภพว่าประสิทธิภาพจะดีเมื่อกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ทันทีหรือภายใน 72
ชั่วโมง หลังจากนั้นประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลงเรื่อย ๆ
จากการศึกษาพบว่าการคุมกำเนิดโดยการกินยาในรูปแบบของ Yuzpe Mothod มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ประมาณร้อยละ 56-86 ส่วนการคุมกำเนิดโดยใช้ยาคุมที่มีส่วนประกอบของ Levonorgestrel อย่างเดียวจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดประมาณร้อยละ 58-89
สำหรับประสิทธิภาพของการป้องกันการตั้งครรภ์โดยการใส่ห่วงอนามัยหลังการมีเพศสัมพันธ์มีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ที่มากกว่าร้อยละ
99 พบว่าหญิงที่เคยคลอดบุตรมาก่อน
จะสามารถใส่ห่วงอนามัยได้ง่ายกว่าเนื่องจากปากมดลูกมีลักษณะฉีกขวางออก ร่วมกับจะต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาก่อน
จึงสามารถใส่ห่วงอนามัยได้อย่างถูกต้อง
ทำให้การใช้ยาคุมกำเนิดแบบเม็ดได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากไม่เสี่ยงต่อความเจ็บปวด
สะดวกหาซื้อง่าย
ถึงแม้ทั้งยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินและห่วงอนามัยจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างที่กล่าวมาแล้ว
แต่วิธีดังกล่าวไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น การติดเชื้อ HIV
เป็นต้น
ดังนั้นต้องมีการป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ผ่านการใช้ถุงยางอนามัยด้วย
นอกจากนี้หากต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดโปรเจสเตอโรนขนาดสูงมากกว่า 2
ครั้งต่อเดือนควรพิจารณาวิธีการคุมกำเนิดชนิดอื่น เช่น
การกินยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมเป็นประจำทุกวัน การฉีดยาคุมกำเนิด การฝังยาคุม
หรือการใส่ห่วงอนามัย
เพื่อลดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพการลดอัตราการตั้งครรภ์
References
1. The
American College of Obstetricians and Gynecologists. Emergency Contraception.
Practice bulletin. 2015;152.
2. Sangsawang
N, Sangsawang B, Wisarapun P. Emergency contraception in adolescences. Journal
of Medicine and Health Sciences. 2016;23(1).
3. World
Health Organization. Fact sheet: emergency contraception. Geneva: World Health
Organization; 2016.
No comments:
Post a Comment