การใช้ยาในเด็ก
นพ.สิระ วชาติมานนท์
ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล
เด็ก
โดยเฉพาะอยางยิ่งทารกแรกเกิด มีการตอบสนองตอยาแตกตางจากผูใหญ จึงควรระมัดระวังเปนพิเศษขณะใช้ยากับทารกแรกเกิด (อายุนอยกวา 30
วัน)
โดยเฉพาะการคํานวณขนาดยา ทั้งนี้เพราะอาจเกิดพิษจากยาไดงาย เนื่องจากทารกแรกเกิดยังมีหนาที่การทํางานของไตและระบบเอนไซมตาง ๆ ไมสมบูรณ์ ตลอดจนกระบวนการเมแทบอไลซ์ยาที่ตับยังไมสมบูรณ์ทําใหขจัดยาจากรางกายไดชา เชน lorazepam มีระยะครึ่งชีวิต 12 ชั่วโมงในผูใหญ
แตมีระยะครึ่งชีวิตในเด็กแรกเกิดน้ำนถึง 42 ชั่วโมง นอกจากนี้การใช้ยาในเด็กยังควรระมัดระวังดังนี้
- ไมควรฉีดยาใหเด็กโดยไมจําเปน โดยเฉพาะอยางยิ่งการฉีดยาลดไข และยาปฏิชีวนะ รวมถึงการใหน้ำเกลือโดยไมจําเปน
- ไมควรรับเด็กไวในโรงพยาบาลโดยไมจําเปน
- ควรหลีกเลี่ยงยาชนิดน้ำเชื่อม (รวมทั้งวิตามินซีชนิดเม็ดที่ใชอม)
ในเด็ก เนื่องจากอาจทําใหฟนผุไดงาย
- ควรเลือกยาน้ำชนิดไมมีน้ำตาล และไมผสมแอลกอฮอลดวย
- ควรตรวจสอบอันตรกิริยากับนมกอนใชยาในเด็ก และควรเตือนผูปกครองไมใหผสมยาลงในขวดนม เพราะเด็กอาจดูดนมไมหมดขวดทําใหไดรับยาไมครบขนาด
- การใชยาในเด็กควรใชภายใตขอบงใชที่ไดรับอนุมัติเปนหลัก รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการใชยาที่ไมไดรับอนุมัติใหใชกับเด็ก และควรตรวจสอบเสมอวายาไดรับอนุมัติใหใชกับเด็กอายุใดไดบ้าง
- ควรเตือนผูปกครองใหเก็บยาทุกชนิดใหไกลมือเด็ก
- หากพบผลขางเคียงใดๆ ในเด็กควรใหความสําคัญเปนพิเศษกับการรายงานผลขางเคียงดังกลาวเนื่องจากประสบการณการใชยาในเด็กมีจํากัด ผลขางเคียงสวนใหญที่ไดรับรายงานเกิดจากการใชยาในผูใหญ่ นอกจากนี้การรายงานผลขางเคียงในเด็กยังมีความสําคัญเปนพิเศษ เนื่องจาก
-
ฤทธิ์ของยาตลอดจนเภสัชจลนศาสตรของเด็กโดยเฉพาะเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก อาจแตกตางจากผูใหญ
เชน ภาวะ paradoxical
CNS stimulation จากยาตานฮิสทามีน
-
ยาสวนใหญขึ้นทะเบียนโดยมีขอมูลการใชกับเด็กที่จํากัด
-
ยาบางชนิดไมไดขึ้นทะเบียนเพื่อใชกับเด็กแตถูกใช้ในลักษณะ off label
-
ยาบางชนิดไม่ไดผลิตมาเพื่อใชเฉพาะกับเด็ก บางครั้งทําใหการแบงขนาดยาใหกับเด็กอยางแมนยําทําไดยาก องคการอนามัยโลกจึงพยายามรณรงคให้บริษัทยาผลิตยาในขนาดเม็ดยาที่เหมาะสมกับเด็ก (make
children size medicine)
-
ลักษณะผลขางเคียงที่พบในเด็กอาจแตกตางจากที่พบในผู้ใหญ เชน kernicterus
และ Reye's syndrome)
ขนาดยาในเด็ก
ขนาดยาในเด็กอาจคำนวณจาก
1.
น้ำหนักตัวของเด็ก
2.
อายุของเด็กไดแก
ทารกแรกเกิด (อายุไมเกิน 30 วัน ) ทารก (อายุไมเกิน 1 ขวบ) เด็กเล็ก(อายุ 1-6 ขวบ)
หรือ เด็กโต (อายุ 6-12
ป )
3.
พื้นที่ผิวของรางกายการคํานวณขนาดยาในเด็ก
วิธีหลังสุดเปนวิธีที่มีความนาเชื่อถือมากที่สุด โดยขนาดยาที่คำนวณไดไมควรมากกวาขนาดปกติที่กําหนดไวในผูใหญ
เชน ถาขนาดยาที่ใชคือ 8
มิลลิกรัม/กิโลกรัม
และขนาดปกติในผูใหญ่ คือ 320 มิลลิกรัมเด็กที่มีน้ำหนักตัวเกินกวา 40
กิโลกรัม ควรไดรับยาไมเกิน 320 มิลลิกรัม
เด็กเล็กอาจตองการยาตอน้ำหนักตัวสูงกวาผูใหญเนื่องจากเด็กมีแทบอลิซึมที่สูงกวาผู้ใหญ ในเด็กอ้วนควรคำนวณน้ำหนักตัวจากน้ำหนักตัวที่ควรจะเปน (ideal
body weight) เพราะอาจได้รับยามากเกิน
การคํานวณขนาดยาจากพื้นที่ผิวของรางกายมีความแมนยํากวาการคํานวณจากน้ำหนักตัว เนื่องจากพื้นที่ผิวของรางกายมความสัมพันธกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของรางกายมากกวาน้ำหนักตัว ซึ่งประมาณพื้นที่ผิวของรางกายไดจากน้ำหนักตัวและสวนสูงโดยใช nomogram
การใหยาในเด็กควรปรับเปลี่ยนเวลาการใหยาแตละครั้งใหเหมาะสมเพื่อไมต้องปลุกเด็กขึ้นมากินยา และควรเลือกยาที่ใชวันละ 1-2
ครั้งมากกวาที่จะใชวันละ 3-4 ครั้ง หากเปนไปได้
การใช้ยาในเด็กและโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
คำแนะนำทั่วไป
การใช้ยาอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็กมีคำแนะทั่วไปในการใช้ยาดังนี้
1.
พิจารณาความจำเป็นที่ต้องใช้ยา
โดยเลือกใช้ non-pharmacological
treatment ก่อนเสมอ
2.
ไม่ควรฉีดยาให้เด็กโดยไม่จำเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฉีดยาลดไข้และยาปฏิชีวนะ รวมถึง การให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น
และไม่ควรรับเด็กไว้ในโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น
3.
ควรตรวจสอบอันตรกิริยากับนมก่อนใช้ยาในเด็ก
และควรเตือนผู้ปกครองไม่ให้ผสมยาลงในขวดนม
เพราะเด็กอาจดูดนมไม่หมดขวดทำให้ได้รับยาไม่ครบขนาด
4.
การใช้ยาในเด็กควรใช้ภายใต้ข้อบ่งใช้ที่ได้รับอนุมัติเป็นหลัก
(หลีกเลี่ยงการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ที่ได้รับอนุมัติ)
รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้กับเด็ก
และควรตรวจสอบเสมอว่ายาได้รับอนุมัติให้ใช้กับเด็กอายุใดได้บ้าง
5.
การรายงานผลข้างเคียงในเด็กมีความสำคัญเป็นพิเศษ
เนื่องจาก ฤทธิ์ของยาตลอดจนเภสัชจลนศาสตร์ในผู้ป่วยเด็ก
โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก อาจแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่น ภาวะ paradoxical
central nervous system stimulationจากยาต้านฮิสตามีน
เช่น
6.
chlorpheniramine
และ brompheniramine เป็นต้น
7. ควรมีการทบทวนประสานรายการยาที่ผู้ป่วยเด็กได้รับให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งยาที่ได้รับจากโรงพยาบาล สถานพยาบาล ร้านยา อาหารเสริมทุกชนิด
รวมทั้งส่งต่อข้อมูลยาไปยังโรงพยาบาลอื่นเมื่อผู้ป่วยเปลี่ยนที่รักษา
เป็นการช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาทางยาที่อาจเกิดขึ้นได้
รายการยา/กลุ่มยาที่ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยเด็ก ได้แก่
1.
Nimesulide
มีรายงานการเกิด fulminant hepatic failure ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ทำให้ถูกถอนทะเบียนแล้วในหลายประเทศทั่วโลก
2.
Nifuroxazide เช่น Erfuzide ไม่มีหลักฐานสนับสนุนถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ยาดังกล่าวในเด็ก
3. ยาในหมวด antidiarrheals ซึ่งเป็นยาสูตรผสมที่มียาต้านจุลชีพเป็นส่วนประกอบ เช่น Disento®, PF
suspension เป็นต้น เนื่องจาก furazolidone
ซึ่งเป็นยาที่เป็นองค์ปะกอบ
เป็นยาที่ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 เดือน
4. ยากดการไอในเด็กเล็กที่มีอาการขณะเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ
หรือหอบหืด เนื่องจาก ยากดการไอ (cough suppressant) จะทำให้เด็กไอไม่ออก มีเสมหะค้างและอุดตัน
5. ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่ 2 หรือ non-sedating antihistamine ในเด็กทุกอายุที่มีอาการจากโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่
1 ลดน้ำมูกในโรคหวัดลงได้ร้อยละ 25-30 โดยผลของยาต่อการลดน้ำมูกในโรคหวัดสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านโคลิเนอร์จิกของยา
ดังนั้น ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่ 2 จึงไม่มีผลต่ออาการของโรคหวัด (น้ำมูกไหล ไอ จาม)
รายการยา/กลุ่มยาที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเด็ก
1.
Paracetamol
ชนิด drop ตัวอย่างเช่น Infant's
Tylenol oral drops 80 มก./0.8 มล., KIT-F oral drops 60 มก./0.6 มล.เนื่องจากมีความเข้มข้น สูงเป็น 4 เท่าของพาราเซตามอลชนิดน้ำจึงเสี่ยงต่อการให้ยาเกินขนาด
จึงควรแจ้งเตือน
และออกมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงของการได้ยาเกินขนาดจากการใช้พาราเซตามอลชนิดหยด
และแนะนำผู้ปกครองไม่ให้ซื้อยานี้มาใช้เอง
2. ยาละลายเสมหะ (mucolytics) และยาขับเสมหะ (expectorants)
ในเด็กเล็ก ที่มีเสมหะขณะเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ
หรือหอบหืด เนื่องจากไม่มีข้อมูลสนับสนุนว่าเป็นประโยชน์ในโรคหวัด จึงควรพิจารณาใช้ในกรณีที่จำเป็นและประเมินการตอบสนองเป็นรายไป
ตัวชี้วัดของการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็กตามโครงการ ได้แก่
อัตราการได้รับยาต้านฮิสตามีนชนิด non-sedating ในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ (ครอบคลุมโรคตาม
ของโครงการ Antibiotic
Smart Use, ASU) ไม่เกินร้อยละ 20
No comments:
Post a Comment