เภสัชเศรษฐศาสตร์
(
Pharmacoeconomics )
นพ.สิระ วชาติมานนท์
ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล
การใช้ยาอย่างคุ้มค่า
เป็นเป้าหมายสําคัญประการหนึ่งของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล แต่มักถูกละเลย ทั้งนี้
อาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการที่แพทย์เหล่านั้นขาดความรู้เกี่ยวกับราคายา จากการวิจัยในประเทศอังกฤษ อิตาลี แคนาดา
และสหรัฐอเมริกา แพทย์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าตนเองมีความรับรู้ (cost
awareness) เกี่ยวกับราคายาในระดับต่ำ
โดยระบุว่าขณะศึกษาในโรงเรียนแพทย์ ตนเองขาดการเรียนรู้เกี่ยวกับราคายา
ซึ่งหากแพทย์มีความรู้เกี่ยวกับราคายาและสามารถเข้าถึงราคายาได้สะดวก
พบว่าแพทย์ส่วนหนึ่งสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงของตนได้โดยไม่มีผลเสียต่อการรักษา
หรือในบางกรณีอาจทําให้ผลการรักษาดีขึ้น
จากการศึกษาในประเทศอิสราเอลและแคนาดาพบว่าหากแพทย์ทราบราคายา
แพทย์มีแนวโน้มทีจะเลือกใช้ยาที่มีราคาต่ำกว่า
จึงอาจเป็นความเข้าใจผิดหากจะระบุว่าแพทย์ขาดความใส่ใจในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการสั่งยาของตน
ในทางตรงข้ามขณะสั่งยาแพทย์ควรสนใจและให้ความสําคัญกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องจ่ายเองหรือค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยเบิกได้ก็ตาม
และงานวิจัยต่างระบุว่า การรับรู้ราคายามีผลต่อพฤติกรรมการสั่งยาของแพทย์
การรับรู้ราคายาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้ยาอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข
โดยช่วยให้แพทย์แยกแยะได้ว่ายาใดมีราคาแพงและไม่น่าจะคุ้มค่า
ในเมื่อมียาราคาประหยัดกว่าให้เลือกใช้ ตัวอย่างเช่น
เมื่อพิจารณายาต้านฮิสทามีนในกลุ่มnon-sedating พบว่ายาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและข้อบ่งใช้ไม่แตกต่างกัน โดยมี cetirizine เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชี ก. ราคาเม็ดละ 1 บาท (generic
product) เทียบกับยานอกบัญชียาหลักแห่งชาต ได้แก่ levocetirizine,
fexofenadine และ desloratadine ซึ่งมีราคาเม็ดละ 20-31
บาท ย่อมช่วยให้ตัดสินใจได้ว่า ไม่มีความจําเป็นที่ต้องสั่งใช้ยาที่มีราคาแพงมากเหล่านั้น
กระบวนการตัดสินใจเบื้องต้นอย่างง่ายนี้เรียกว่า cost
identification analysis (CIA) หรือ cost
minimization analysis ในขณะที่เครื่องมือเพื่อการตัดสินใจด้านความคุ้มค่าของยายังมีอีกสองชนิดได้แก่
cost-effectiveness
analysis (CEA) และ cost-benefit analysis (CBA)
Cost
identification analysis
เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อยาใดหมดสิทธิบัตรลง
และมีผู้ผลิตยานั้นหลายบริษัทในฐานะยาพ้นสิทธิบัตร (generic drug) ยาจะมีราคาถูกลงกว่ายาต้นแบบ (original
drug) มากทั้งนี้เพราะบริษัทเหล่านั้นคิดต้นทุนค่ายาจากมูลค่าของสารตั้งต้นในการผลิต
บวกกับค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตและกระบวนการจัดจําหน่าย
โดยไม่ต้องคํานึงถึงต้นทุนในการคิดค้นและพัฒนายา
ซึ่งอาจแลดูว่าไม่ยุติธรรมกับบริษัทผู้ผลิตยาต้นแบบ
แต่บริษัทผู้ผลิตยาต้นแบบได้รับการตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวไปแล้ว
จากการขายยาทั่วโลกในภาวะตลาดที่มีผู้ขายรายเดียว (monopoly) ในช่วงเวลาก่อนที่ยาจะหมดสิทธิบัตรลงเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี
ปัจจุบันแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะทํางานในภาครัฐหรือเอกชน
รวมทั้งที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนแพทย์ มักสั่งยาที่เป็นยาพ้นสิทธิบัตรให้กับผู้ป่วยเป็นประจํา
ทั้งนี้เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคต่างๆ ไปได้มาก
ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาของประชาชน
และช่วยให้ระบบประกันสุขภาพและสวัสดิการสามารถดําเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน
โดยไม่พบหลักฐานว่าเกิดผลเสียต่อคุณภาพการรักษาแต่อย่างใด การมียาราคาประหยัดเช่น simvastatin และ fluoxetine ใช้
ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยจํานวนมากที่ต้องใช้ยาจําเป็นเหล่านั้นไม่ถูกปฏิเสธยาที่สมควรได้รับ
คุณภาพของยาพ้นสิทธิบัตร (generic
drug)
เนื่องจากข้อแม้พื้นฐานของการพิจารณาความคุ้มค่าของยาด้วยวิธี cost
identification analysis ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า
ยาที่นำมาเปรียบเทียบราคากันนั้นมีคุณภาพเท่าเทียมกันดังนั้นคําถามเกี่ยวกับคุณภาพของยาพ้นสิทธิบัตรจึงเป็นประเด็นที่ได้รับการโต้แย้งและกล่าวถึงตลอดเวลา
การที่ยาถูกใช้อย่างแพร่หลายเป็นเครื่องบ่งชี้ประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า
แพทย์จํานวนมากเชื่อมั่นว่า
ผลการรักษาไม่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้ยาต้นแบบที่มีราคาแพงกับยาพ้นสิทธิบัตรที่มีราคาถูกกว่ามาก
เนื่องจากขณะปฏิบัติงานประจําวัน แพทย์สามารถประเมินได้ว่า
ยาเหล่านั้นสามารถรักษาโรคติดเชื้อ ทั้งกรณีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
บรรเทาอาการปวดข้อ ลดไขมันในเลือดของผู้ป่วย รักษาโรคภูมิแพ้ ควบคุมความดันเลือด
รักษาอาการซึมเศร้า และรักษาโรคแผลกระเพาะอาหารได้จริงหรือไม่ ด้วยประสบการณ์ที่ดี
แพทย์จํานวนมากจึงยินดีที่จะใช้ยาพ้นสิทธิบัตรชนิดใหม่ๆ แทนการใช้ยาต้นแบบ
เช่นเดียวกับที่เคยใช้ aspirin,
paracetamol, amoxicillin, roxithromycin, cotrimoxazole, norfloxacin, INH,
rifampicin, prednisolone, metformin, chlorpheniramine, dextromethorphan และ diazepam มาก่อนหน้านี้โดยไม่ตั้งข้อสงสัยอีกต่อไป ปัจจุบันพบว่ามีสถานพยาบาลจํานวนไม่น้อยรวมทั้งสถานพยาบาลในสังกัดโรงเรียนแพทย์หลายแห่งต่างไม่บรรจุยาต้นแบบของยาข้างต้นไว้ในเภสัชตํารับอีกต่อไป
นอกเหนือจากการประเมินคุณภาพของยาพ้นสิทธิบัตรทางอ้อมด้วยการประเมินผลการรักษาของแพทย์ดังที่กล่าวมา
ยาพ้นสิทธิบัตรยังได้รับการประเมินและควบคุมคุณภาพทางตรงด้วยกลไกภาครัฐอีกหลายประการ
ที่สําคัญได้แก่
ก. การกําหนดมาตรฐานของสถานที่ผลิตยาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา
(Good
Manufacturing Practice - GMP)
ข. การกําหนดเกณฑ์การขึ้นทะเบียนตํารับยาให้ต้องพิสูจน์ว่ายาพ้นสิทธิบัตรมีชีวสมมูล
(bioequivalence)
ไม่ต่างจากยาต้นแบบ
ค. การดําเนินโครงการประกันคุณภาพยา
โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา โรงพยาบาลของรัฐ
และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศด้วยการเฝ้าระวังคุณภาพยาในท้องตลาดโดยสุ่มตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
ผลวิเคราะห์คุณภาพยาสําเร็จรูปดังกล่าวได้มีการนําไปใช้แก้ไขปัญหาที่พบและเผยแพร่แก่ผู้ใช้ยาทางศูนย์ข้อมูลยาและวัตถุเสพติด
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_drug/Drug_quality/Main_q.htm
ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การเข้าถึงยาถ้วนหน้าประชากรไทยขึ้นเพื่อให้ยกร่างแผนปฏิบัติการให้มติดังกล่าวได้ถูกนําไปปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป
No comments:
Post a Comment