อันตรายจากการใช้ยาแก้ปวดศีรษะมากเกินไปและแนวทางการดูแลเบื้องต้น
(Medication overused headache and management)
(Medication overused headache and management)
นพ.ธนกฤต
พงพิทักษ์เมธา 1
อ.นพ.เสกข์ แทนประเสริฐสุข 2
ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา 1
อ.นพ.เสกข์ แทนประเสริฐสุข 2
ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา 1
1
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2 ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2 ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทความนี้เหมาะสำหรับ:
แพทย์เวชปฏิบัติและประชาชนโดยทั่วไป
เชื่อได้ว่าทุกๆคนน่าจะเคยรู้สึกปวดหัวกันใช่ไหมครับ อาการปวดศีรษะหรือปวดหัวเป็นปัญหาเรื้อรังที่พบบ่อยและมักสร้างความรำคาญให้กับเราอยู่เสมอๆ
บางครั้งอาการปวดหัวก็รุนแรงมากจนเราจะต้องไปหายาแก้ปวดหัวมารับประทานเองทั้งจากร้านขายยาบ้างหรือได้มาจากแพทย์บ้าง
แต่รู้หรือไม่ว่า “การใช้แก้ปวดหัวอย่างผิดวิธีหรือมากเกินไปก็อาจจะเป็นอันตรายได้”
โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง (Chronic daily headache) อาทิ ปวดศีรษะจากไมเกรน (Migraine headache) และปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว
(Tension headache)
อาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดศีรษะมากเกินไป
(Medication
overused headache/MOH; Drug-induced headache; Medication-misuse headache;
Rebound headache) ถือเป็นปัญหาที่เราพบได้ประมาณ 1-2 % ในประชากรทั่วไป และจะพบมากถึงประมาณ 50% ในกลุ่มที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง
โดยผลอาการปวดศีรษะชนิดนี้จะส่งผลกระทบให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ ทำงานได้ลำบาก
และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดทางจิตเวชบางอย่างได้
สำหรับอาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ศีรษะมากเกินไปนั้นไม่มีลักษณะที่จำเพาะชัดเจนแยกจากอาการปวดศีรษะชนิดอื่นๆ
การวินิจฉัยจะใช้เกณฑ์การวินิจฉัยของสมาคมโรคปวดหัวนานาชาติ (International
Headache Society) ชื่อ The International Classification of
Headache Disorders 3rd edition (ICHD-3) ที่ตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ.
2018 (ตารางที่ 1) กล่าวโดยสรุปคือผู้ป่วยจะต้องมีอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ
15 วันต่อเดือน โดยจะต้องมีโรคปวดศีรษะอยู่เดิม อาทิ
อาการปวดศีรษะไมเกรน และต้องมีการใช้ยาเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการเกิน 10 หรือ 15 วันต่อเดือน (ขึ้นกับชนิดของยา)
ติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเชื่อว่าเกิดจากหลากหลายปัจจัยส่งเสริมกัน
เช่น ปัจจัยทางกาย (มีปัญหาทางการนอนหลับ น้ำหนักตัวมาก) ปัจจัยทางพันธุกรรม
(มีประวัติครอบครัวเป็น MOH) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(สูบบุหรี่ รับประทานคาเฟอีนปริมาณมาก) และปัจจัยด้านการใช้ยา (ใช้ยาเกือบทุกวัน
ใช้ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบ ยากลุ่ม triptans หรือ ยากลุ่ม opioids)
กลไกการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่จากการศึกษาในกลุ่มประชากรและการทดลองในสัตว์ทำให้เชื่อได้ว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงวงจรการรับรู้ความเจ็บปวดในสมอง
(central
pain networks) การปรับตัวให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น (neuronal
hyperexcitability)
และการเปลี่ยนแปลงให้ระบบการรับรู้ความเจ็บปวดไวมากขึ้น (sensitization of
both peripheral and central nociceptive pathways)
สำหรับการประเมินเพื่อวางแผนการวินิฉัยและรักษาโรคนั้น
ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินอาการปวดศีรษะและประวัติการรับประทานยาอย่างละเอียดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย
1
เดือน โดยจดเป็นบันทึกของตนเองไว้ในรูปแบบไดอารี่ (headache
diary)
ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจประเมินและตรวจร่างกายทางด้านระบบประสาทว่าไม่มีความผิดปกติ
รวมไปถึงการประเมินเรื่องอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นๆที่อันตรายออกไปก่อน อาทิ
อาการปวดศีรษะที่เกิดจากการเพิ่มของความดันในกะโหลกศีรษะที่มักจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงอยู่ข้างเดียวไม่หายไปไหน
คลื่นไส้ อาเจียนพุ่ง ตามัวทั้งสองข้าง
ซึ่งควรได้รับการตรวจทางรังสีวิทยาบริเวณสมองต่อไป
สำหรับแนวทางการรักษาของอาการปวดศีรษะชนิดนี้
ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นแนวทางการดูแลออกมาชัดเจนเนื่องจากตัวโรคยังมีความหลากหลายของลักษณะผู้ป่วยมากและเรายังไม่ทราบกลไกการเกิดโรคที่ชัดเจน
แต่จากข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมาสามารถสรุปแนวทางการดูแลเบื้องต้นได้ดังนี้ ประกอบไปด้วย
1) ขั้นตอนการหยุดยาหรือถอนยาแก้ปวดศีรษะที่ทำให้เกิดอาการ
(Drug withdrawal phase) จากการศึกษาหลายงานวิจัยพบว่าภายหลังจากการหยุดยาแก้ปวดแล้ว
อาการปวดหัวมักจะหายไปได้เองประมาณ 50-70% โดยอาจจะพิจารณาค่อยๆปรับลดปริมาณยาที่รับประทานถ้าอาการปวดศีรษะเกิดจากยากลุ่ม
benzodiapine opioid และ barbiturate ทั้งนี้ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำให้ระมัดระวังในการรับประทานยาอื่นๆในช่วงที่กำลังเริ่มการรักษาในขั้นตอนนี้
อย่างไรก็ดีผู้ป่วยหลายรายมักจะรู้สึกถึงอาการถอนยา (Withdrawal symptoms) ในช่วง 2-10 วันภายหลังจากช่วงหยุดหรือถอนยา อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการปวดศีรษะที่แย่ลงแล้วตามมาด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียน ความดันตก หัวใจเต้นเร็วขึ้น นอนไม่หลับ กระวนกระวาย และวิตกกังวล ทั้งนี้การรักษาด้วยยาเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ (Rescue medication) ยังขาดหลักฐานสนับสนุนที่ดีนัก ซึ่งหัวใจของการรักษาในช่วงนี้คือต้องอธิบายข้อมูลให้ผู้ป่วยควรจะเข้าใจว่าหากผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้วอาการปวดศีรษะจะทุเลาลงไปได้ สำหรับการรักษาที่อาจจะพอพิจารณาให้ได้เพื่อประคับประคองให้ผู้ป่วยทุเลาอาการในช่วงนี้ไปได้ เช่น
อย่างไรก็ดีผู้ป่วยหลายรายมักจะรู้สึกถึงอาการถอนยา (Withdrawal symptoms) ในช่วง 2-10 วันภายหลังจากช่วงหยุดหรือถอนยา อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการปวดศีรษะที่แย่ลงแล้วตามมาด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียน ความดันตก หัวใจเต้นเร็วขึ้น นอนไม่หลับ กระวนกระวาย และวิตกกังวล ทั้งนี้การรักษาด้วยยาเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ (Rescue medication) ยังขาดหลักฐานสนับสนุนที่ดีนัก ซึ่งหัวใจของการรักษาในช่วงนี้คือต้องอธิบายข้อมูลให้ผู้ป่วยควรจะเข้าใจว่าหากผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้วอาการปวดศีรษะจะทุเลาลงไปได้ สำหรับการรักษาที่อาจจะพอพิจารณาให้ได้เพื่อประคับประคองให้ผู้ป่วยทุเลาอาการในช่วงนี้ไปได้ เช่น
· การใช้ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียนและยากลุ่ม
neuroleptics เช่น prochlorperazine diphenhydramine promethazine
metoclopramide และ chlorpromazine
· การใช้ยาแก้ปวด
(analgesics)
เช่น paracetamol/acetaminophen และการใช้ยากลุ่มที่ไม่ใช้สเตียรอด์
(nonsteroidal anti-inflammatory drugs) เช่น naproxen indomethacin
และ ketorolac
· การใช้ยากลุ่ม
ergot
ในรูปแบบให้ทางหลอดเลือดดำ (dihydroergotamine) ในรายที่มีอาการมาก
· การใช้ยาสเตียรอยด์
(steroidal
therapy) ไม่ได้แนะนำเนื่องจากอาจจะช่วยลดจำนวนชั่วโมงการปวดหัวได้เล็กน้อยไปจนถึงไม่มีผลเมื่อเทียบกับยาหลอก
2) ขั้นตอนการให้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการถอนยา
(Prophylactic
phase) สำหรับขั้นตอนนี้แนะนำให้ทำในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
นอกจากนี้ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเวลาที่ควรเริ่มยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการถอนยานั้นควรเริ่มก่อนมีอาการ
ขณะมีอาการ หรือหลังจากมีอาการไปแล้ว
อย่างไรก็ตามอาจจะมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการรักษาขั้นตอนนี้ เช่น ผู้ป่วยกลุ่มปวดไมเกรนเรื้อรัง
(chronic migraine) เมื่อรักษาด้วย onabutulinumtoxin
type A และ topiramate พบว่าสามารถลดความถี่ของอาการปวดหัวจากช่วงถอนยาได้
เป็นต้น สำหรับยาที่ได้รับการศึกษาแล้วว่าอาจจะพอพิจารณาให้ได้ตามหลักฐานที่มีอยู่
อาทิ amitriptyline flunarizine beta-blockers (propranolol, atenolol,
metoprolol) valproic acid topiramate และ candesartan
3) ขั้นตอนการตรวจติดตามและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
(Follow-up
and prevention phase) หลังจากได้เริ่มการรักษาไปแล้วผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจติดตามเพื่อประเมินอาการและผลของการการรักษาข้างต้นอีกครั้ง
หลังจากนั้นผู้ป่วยควรได้รับการประเมินอาการปวดศีรษะที่เป็นอยู่เดิมและได้รับการรักษาอย่างจำเพาะกับขนิดของอาการปวดศีรษะต่อไป
แนวทางการดูแลการรักษาทั้งหมดที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่แล้วสามารถจัดการได้ด้วยการดูแลที่แผนกผู้ป่วยนอก
(outpatient
care) โดยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (General practitioner) โดยการใช้แนวทางการรักษาขั้นต้นร่วมไปกับการประเมินปัจจัยเสี่ยงและให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวโรคที่ถูกต้องตลอดการดูแลรักษา
เช่น การเปลี่ยนความเข้าใจว่า “ปวดหัวแล้วต้องทานยาทุกครั้ง” เป็นประโยคที่ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป
ผู้ป่วยอาจจะต้องหาทางจัดการอาการปวดศีรษะด้วยวิธีอื่นด้วย
รวมไปถึงต้องระมัดระวังปริมาณการรับประทานยาต่อเดือนไม่ให้มากเกินไป เป็นต้น
ถึงอย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางกลุ่มก็อาจจะมีความยุ่งยากในการดูแลรักษาและสมควรต้องพิจารณาให้นอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
(inpatient care) โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจอย่างมาก
(psychological issues) และ/หรือการใช้ยากลุ่ม barbiturate
และหรือ opioid มากเกินไป
การพยากรณ์โรคหลังการรักษาหายแล้วส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ดี
หากได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง แต่ก็ยังมีผู้ป่วยบางส่วนที่อาจจะมีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้ภายใน
1
ปี และมักจะไม่เป็นซ้ำหลังจากผ่านไป 1 ปีแล้ว
กล่าวโดยสรุป
อาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดศีรษะมากเกินไปเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยได้มากและยังได้รับการพูดถึงน้อย
การวินิจฉัยอาศัยประวัติของอาการปวดศีรษะร่วมกับประวัติการใช้ยาแก้ปวดศีรษะ
การรักษาที่สำคัญคือการหยุดยา การให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรค การบรรเทาอาการและป้องกันช่วงอาการถอนยา
และการตรวจติดตามเพื่อวางแผนจัดการกับอาการปวดศีรษะที่มีอยู่เดิมของผู้ป่วยเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ตารางที่
1
เกณฑ์การวินิจฉัยอาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดศีรษะมากเกินไป
ดัดแปลงและแปลจาก International Classification of Headache Disorders 3rd edition
(diagnoses 8.2.1 to 8.2.8)
ดัดแปลงและแปลจาก International Classification of Headache Disorders 3rd edition
(diagnoses 8.2.1 to 8.2.8)
แต่ละเกณฑ์ A-C ต้องได้รับการประเมินว่ามีลักษณะดังกล่าวครบทุกข้อ
จึงจะสามารถวินิจฉัยได้
|
A. อาการปวดศีรษะเกิดขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ
15
วันต่อเดือน ในผู้ป่วยที่มีโรคปวดศีรษะอยู่เดิม
|
B. มีการใช้ยารักษาหรือบรรเทาอาการปวดศีรษะอย่างมากเกินไปติดต่อกันมากกว่า
3
เดือน โดยแบ่งขนาดการใช้
ตามขนิดของยาดังนี้ |
1.
การใช้ยากลุ่ม Ergotamines
Opioids Triptans หรือ Combination of analgesics เป็นระยะเวลามากกว่าหรือเท่ากับ 10 วันต่อเดือน
2.
การใช้ยากลุ่มลดอาการปวดพื้นฐาน (simple
analgesics) ได้แก่ ยากลุ่ม Paracetamol/Acetaminophen
Acetylsalicylic acid/ASA/Aspirin และ nonsteroidal
anti-inflammatory drugs/NSAIDs เป็นระยะเวลามากกว่าหรือเท่ากับ 15
วันต่อเดือน
3.
การใช้ยากลุ่มที่กล่าวมาข้างต้นร่วมกัน
หรือ การใช้ยากลุ่มอื่นๆที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในการรักษาหรือบรรเทาอาการปวดศีรษะอย่างน้อย
1
ชนิด เป็นระยะเวลามากกว่าหรือเท่ากับ 10 วันต่อเดือน
|
C. อาการปวดศีรษะไม่สามารถเข้าได้กับอาการปวดศีรษะอื่นเมื่ออ้างอิงด้วยเกณฑ์การวินิจฉัย ICHD-3
|
Reference
1. Headache Classification Committee of the International Headache Society (IHS) The International Classification of Headache Disorders, 3rd edition. Cephalalgia. 2018 Jan;38(1):1-211.
2. Fischer MA, Jan A. Medication-overuse Headache (MOH) [Updated 2019 Mar 1]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2019 Jan-.
3. Alstadhaug KB, Ofte HK, Kristoffersen ES. Preventing and treating medication overuse headache. Pain reports. 2017 Jul;2(4).
4. Kristoffersen ES, Lundqvist C. Medication-overuse headache: epidemiology, diagnosis and treatment. Therapeutic advances in drug safety. 2014 Apr;5(2):87-99.
5. Tassorelli C, Jensen R, Allena M, De Icco R, Sances G, Katsarava Z, Lainez M, Leston J, Fadic R, Spadafora S, Pagani M, Nappi G., the COMOESTAS Consortium. A consensus protocol for the management of medication-overuse headache: Evaluation in a multicentric, multinational study. Cephalalgia. 2014 Aug;34(9):645-655.
1. Headache Classification Committee of the International Headache Society (IHS) The International Classification of Headache Disorders, 3rd edition. Cephalalgia. 2018 Jan;38(1):1-211.
2. Fischer MA, Jan A. Medication-overuse Headache (MOH) [Updated 2019 Mar 1]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2019 Jan-.
3. Alstadhaug KB, Ofte HK, Kristoffersen ES. Preventing and treating medication overuse headache. Pain reports. 2017 Jul;2(4).
4. Kristoffersen ES, Lundqvist C. Medication-overuse headache: epidemiology, diagnosis and treatment. Therapeutic advances in drug safety. 2014 Apr;5(2):87-99.
5. Tassorelli C, Jensen R, Allena M, De Icco R, Sances G, Katsarava Z, Lainez M, Leston J, Fadic R, Spadafora S, Pagani M, Nappi G., the COMOESTAS Consortium. A consensus protocol for the management of medication-overuse headache: Evaluation in a multicentric, multinational study. Cephalalgia. 2014 Aug;34(9):645-655.
No comments:
Post a Comment