ภาวะท้องเสียถ่ายเหลวจากยาเคมีบำบัด
(chemotherapy-induced diarrhea)
นพ.สุรชัย
เล็กสุวรรณกุล
ผศ.ดร.ปิยนุช วงศ์อนันต์
เคมีบำบัดเป็นแนวทางที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
อย่างไรก็ตามด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่ไม่จำเพาะ จึงส่งผลทำให้ยาเคมีบำบัดมีผลข้างเคียงที่มากและรุนแรง
เช่น ท้องเสียถ่ายเหลว คลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการท้องเสียถ่ายเหลวพบมากถึงร้อยละ 84
ของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด และยังพบอาการที่รุนแรงได้สูงถึง
1 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการรักษา
โดยอาจจะต้องมีการลดปริมาณยาเคมีบำบัด เลื่อนหรือหยุดการรับยาเคมีบำบัด นอกจากนี้อาการท้องเสียถ่ายเหลวยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ได้แก่ แร่ธาตุในร่างกายผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยมีรายงานอัตราการตายที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องเสียถ่ายเหลวสูงถึงร้อยละ
3.5
ปัจจัยเสี่ยง
-
เพศ พบว่าผู้ป่วยเพศหญิงมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะท้องเสียถ่ายเหลวจากยาเคมีบำบัดมากกว่าเพศชาย
-
อวัยวะที่เกิดมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยมะเร็งบริเวณลำไส้จะมีโอกาสเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวจากยาเคมีบำบัดได้สูง
-
อายุ พบว่าผู้ป่วยที่มีอายุมากจะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะท้องเสียถ่ายเหลวมากกว่าผู้ป่วยที่มีอายุน้อย
-
ประวัติการเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลว
โดยผู้ที่เคยมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวมาก่อนจะมีโอกาสเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวสูง
-
ชนิดของยาเคมีบำบัดที่ผู้ป่วยได้รับ
ตัวอย่างเช่น irinotecan และ 5-fluorouracil สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวได้มากกว่ายาเคมีบำบัดชนิดอื่น
-
สภาวะร่างกายของผู้ป่วย
โดยผู้ป่วยที่มีสภาวะร่างกายที่ไม่แข็งแรง (Eastern Cooperative
Oncology Group ;ECOG ตั้งแต่ระดับที่ 2 ขึ้นไป)
มีโอกาสเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวได้สูง
พยาธิสรีรวิทยา
พยาธิสรีรวิทยาในการเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวจากยาเคมีบำบัดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
โดยมีหลายสมมติฐานที่อาจเป็นสาเหตุและขึ้นอยุ่กับชนิดของยา ยกตัวอย่างเช่น
สาเหตุของการเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวจาก
ยา 5-fluorouracil เนื่องจากยาทำให้เกิดการตายของ crypt
cell และเกิดการอักเสบบริเวณผนังลำไส้
ทำให้เกิดการหลั่งสารน้ำและแร่ธาตุต่างๆ เข้าสู่บริเวณลำไส้ ส่งผลให้มีการเปลี่ยน osmotic
gradient ในบริเวณลำไส้และเกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลว นอกจากนี้เภสัชพันธุศาสตร์ยังส่งผลต่ออาการท้องเสียถ่ายเหลวอีกด้วย
พบว่าเอนไซม์ dihydropyridine dehydrogenase (DPD) เป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดยาออกจากร่างกาย โดยพบพหุสัณฐานของยีน
DPYD*2A
ที่ส่งผลให้การกำจัดยาลดลง ทำให้มีปริมาณยาที่สะสมในร่างกายมากขึ้นและทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรงมากขึ้น
ในขณะที่ยา irinotecan
ทำให้เกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวได้ 2 แบบคือแบบฉับพลันและแบบเกิดขึ้นในภายหลัง
โดยแบบฉับพลันจะเกิดอาการได้ใน 24 ชั่วโมง มีสาเหตุจากการทำงานของ
cholinergic activity ในร่างกาย โดยจะมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวร่วมกับอาการปวดท้อง
น้ำมูกไหล น้ำตาไหล และน้ำลายไหล
เพราะฉะนั้นการรักษาผู้ป่วยในระยะฉับพลันจึงพิจารณาใช้ยา atropine ในขณะที่แบบเกิดขึ้นภายหลังซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับยา 24 ชั่วโมงไปแล้ว มีหลายสมมติฐานที่อาจเป็นสาเหตุนอกเหนือจากการทำลาย crypt
cell เช่น SN-38 ซึ่งเป็น
active metabolite ของ irinotecan ออกฤทธิ์บริเวณลำไส้โดยตรงทำให้เกิดการอักเสบของชั้น
mucosa ยิ่งไปกว่านั้นเอนไซม์ ß-glucuronidases ของแบคทีเรียในลำไส้สามารถทำให้มี SN-38 ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
ยาที่ใช้ในการรักษาและกลไกการออกฤทธิ์
Loperamide
เป็นยากลุ่ม opioid ที่สำคัญในการรักษาอาการท้องเสียถ่ายเหลวจากยาเคมีบำบัด
โดยยาออกฤทธิ์ที่กล้ามเนื้อเรียบบริเวณลำไส้ ทำให้ลดการเคลื่อนที่ของลำไส้
และยังดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยมากอีกด้วย
Octreotide เป็นสารกลุ่ม somatostatin analogue ออกฤทธิ์ผ่านหลายกลไก
เช่น ลดการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น vasoactive intestinal peptide (VIP), serotonin, gastrin
ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง เพิ่มการดูดกลับและลดการหลั่งสารน้ำและแร่ธาตุ
การประเมินผู้ป่วยและการดูแลผู้ป่วย
ประเมินอาการที่บ่งชี้ภาวะอื่นๆ
ได้แก่ ไข้ วิงเวียนศีรษะ ปวดท้อง อ่อนแรง เพื่อการวินิจฉัยแยกโรคจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
ลำไส้อุดตันและขาดสารน้ำรุนแรง ซึ่งต้องมีการรักษาเป็นผู้ป่วยในและประเมินระดับความรุนแรงของอาการท้องเสียถ่ายเหลวตามเกณฑ์ของ
National
Cancer Institute (NCI) ดังนี้
- ระดับที่ 1
มีการเพิ่มขึ้นของอุจจาระเมื่อเทียบกับภาวะปกติน้อยกว่า 4 ครั้งต่อวัน หรือมีปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้นผ่านทาง ostomy ในปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับปกติ
- ระดับที่ 2
มีการเพิ่มขึ้นของอุจจาระเมื่อเทียบกับภาวะปกติ 4-6 ครั้งต่อวัน หรือมีปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้นผ่านทาง
ostomy ในปริมาณปานกลางเมื่อเทียบกับปกติ
หรือมีความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเชิงปฏิบัติลดลง (instrumental
activity of daily living)
- ระดับที่ 3
มีการเพิ่มขึ้นของอุจจาระเมื่อเทียบกับภาวะปกติอย่างน้อย 7 ครั้งต่อวัน หรือมีปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้นผ่านทาง ostomy ในปริมาณมากเมื่อเทียบกับปกติ หรือมีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาล
หรือมีความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันในการดูแลตนเอง (self-care activity of daily living)
- ระดับที่ 4
ส่งผลให้เกิดภาวะ life threatening ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างรีบด่วน
(urgent)
- ระดับที่ 5
เสียชีวิต
ในกรณีที่เป็นระดับที่
1
หรือ 2 เริ่มการรักษาด้วยการรับประทานยา loperamide
ขนาด 4 มก. ทันที และตามด้วยขนาด 2 มก. ทุก 4 ชั่วโมง จากนั้นประเมินอาการอีกครั้งที่เวลา
12-24 ชั่วโมง หากอาการดีขึ้นให้หยุดยาได้หลังไม่มีอาการ
12 ชั่วโมง หากอาการยังเหมือนเดิมให้เปลี่ยนความถี่ในการให้ยาเป็นทุก
2 ชั่วโมง รวมทั้งพิจารณาการให้ยาปฏิชีวนะ
และประเมินซ้ำอีกครั้งที่ 12-24 ชั่วโมง
หากอาการยังไม่ดีขึ้น พิจารณาตรวจร่างกาย ส่งตรวจอุจจาระ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดและแร่ธาตุในร่างกาย
ให้สารน้ำและแร่ธาตุตามความเหมาะสม และพิจารณาการให้ยาชนิดอื่นต่อไป เช่น octreotide
ในกรณีที่เป็นระดับที่ 3
หรือ 4 หรือระดับอื่นที่มีอาการที่บ่งชี้ภาวะอื่นๆ
ให้รับผู้ป่วยรักษาแบบผู้ป่วยใน พิจารณาให้ยา octreotide
และยาปฏิชีวนะ ตรวจอุจจาระ
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดและแร่ธาตุในร่างกาย
ให้สารน้ำและแร่ธาตุตามความเหมาะสม ตลอดจนพิจารณาหยุดการให้ยาเคมีบำบัดจนกว่าอาการจะดีขึ้นและอาจจะต้องลดปริมาณยาเคมีบำบัดในการรักษาครั้งต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1.
Andreyev
J, Ross P, Donnellan C, Lennan E, Leonard P, Waters C, et al. Guidance
on the management of diarrhoea during cancer chemotherapy. Lancet
Oncol. 2014;15(10):e447-60.
2.
Arbuckle
RB, Huber SL, Zacker C. The consequences of diarrhea
occurring during chemotherapy for colorectal cancer: a
retrospective study. Oncologist. 2000;5(3):250-9.
3.
Benson
AB, 3rd, Ajani JA, Catalano RB, Engelking C, Kornblau SM, Martenson JA, Jr., et al. Recommended guidelines for the
treatment of cancer treatment-induced diarrhea. J Clin Oncol. 2004;22(14):2918-26.
4.
Koselke
EA, Kraft S. Chemotherapy-Induced
Diarrhea: Options for Treatment and Prevention. Journal of Hematology Oncology Pharmacy. 2013;2(4):143-51.
5.
Maroun
JA, Anthony LB, Blais N, Burkes R, Dowden SD, Dranitsaris G, et al. Prevention and management of chemotherapy-induced
diarrhea in patients with colorectal cancer: a consensus
statement by the Canadian Working Group on Chemotherapy-Induced
Diarrhea. Curr Oncol. 2007;14(1):13-20.
6.
National
Cancer Institute. Common Terminology Criteria for Adverse
Events (CTCAE) Version 5.0 [updated
2017 November 27; cited 2020 August 8. Available from: https://ctep.cancer.gov/protocolDevelopment/electronic_applications/docs/CTCAE_v5_Quick_Reference_5x7.pdf.
7.
Richardson
G, Dobish R. Chemotherapy induced diarrhea. J
Oncol Pharm Pract. 2007;13(4):181-98.
8.
Stein
A, Voigt W, Jordan K. Chemotherapy-induced
diarrhea: pathophysiology, frequency and guideline-based management. Ther Adv Med Oncol. 2010;2(1):51-63.
No comments:
Post a Comment