Botulinum
toxin
พญ.ศิวภรณ์
มโนมัยสันติภาพ
ผศ.ดร.พญ.วรรณรัศมี
เกตุชาติ
ภาควิชาเภสัชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“dosis sola facit venenum
only
the dose makes the poison”
-Paracelsus-
Botulinum toxin หรือ โบท็อกซ์ (Botox) เป็นสารพิษต่อระบบประสาท (neurotoxin)
ที่สร้างโดยแบคทีเรีย Clostridium botulinum
ซึ่งอาศัยอยู่ตามดินและน้ำทั่วไป
สารโบท็อกซ์ในปริมาณมากสามารถก่อให้เกิดโรคโบทูลิซึม (Botulism) พบได้จากการกินอาหารที่มีพิษหรือมีเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะในผัก ปลา หน่อไม้ที่บรรจุกระป๋องเอง
อาการของโรคเริ่มจากคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เป็นอัมพาตอย่างรวดเร็ว
ถ้ารุนแรงอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจและกระบังลมหยุดทำงาน เสียชีวิตได้
สารโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
โดยเฉพาะการใช้ในด้านความงาม นอกจากนี้ยังมีประโยชน์หลากหลายสำหรับข้อบ่งชี้ในทางการแพทย์
ซึ่ง US FDA ได้รองรับการใช้ Botox เพื่อรักษาภาวะต่างๆ
ที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหดตัวผิดปกติ ได้แก่ ไมเกรนเรื้อรัง กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง
ตากระตุก ตาเหล่ที่เกิดจากกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ เหงื่อออกมาก
ปัสสาวะเล็ดจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน และเส้นประสาทบนใบหน้ากระตุก
โบท็อกซ์ถูกริเริ่มนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาการทำงานของกล้ามเนื้อตาผิดปกติในช่วงปลายทศวรรษ
1970 หลังจากนั้นก็ได้เริ่มนำมาใช้ในข้อบ่งชี้อื่นๆ และได้รับการรับรองจาก
US FDA ในปี ค.ศ.1989
สำหรับการรักษากล้ามเนื้อรอบดวงตาหดตัวผิดปกติ และช่วงปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา สำหรับใช้ลดรอยย่นบนใบหน้า
สาร
Botulinum toxin มีทั้งหมด 7 ซีโรไทป์ ชนิดที่ได้การรับรองจาก
US FDA ให้ใช้ คือ type A และ B ดังนี้
·
OnabotulinumtoxinA
·
AbobotulinumtoxinA
·
IncobotulinumtoxinA
·
RimabotulinumtoxinB
กลไกการออกฤทธิ์
· สาร
Botulinum
toxin จะจับกับ cholinergic receptor ที่บริเวณรอยต่อปลายประสาทของกล้ามเนื้อลาย
(neuromuscular junction) ยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาท
acetylcholine ที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว โดยเป็นการจับแบบย้อนกลับได้
(reversible inhibition) ส่งผลให้ลดแรงตึงในกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ
ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว
· นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการปล่อยสาร
glutamate และ substance R
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปล่อยสาร bradykinin, prostaglandins, histamine และ serotonin ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการอักเสบ
ทำให้ Botox อาจสามารถใช้รักษาภาวะปวดเรื้อรัง เช่น ไมเกรน
หรือปวดปลายประสาทได้
· ระยะเวลาออกฤทธิ์
จะมีเต็มที่หลังจากฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์
และคงอยู่ได้นาน 3-5 เดือนในการใช้ด้านความงาม สำหรับการใช้ทางการแพทย์ซึ่งใช้สาร
Botulinum toxin ในปริมาณมากกว่า เช่น การรักษาภาวะเหงื่อออกมาก(hyperhidrosis) หรือ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน(overactive bladder) อาจอยู่ได้นานถึง 6-9 เดือน
ข้อควรระวัง
· ข้อห้ามในการฉีด
o
ผู้มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดต่างๆ
(Myasthenia
gravis, Amyotrophic lateral sclerosis, Lambert–Eaton myasthenic syndrome)
o
ผู้ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมบุตร
o
ผู้ที่แพ้
Botulinum toxin
o
ผู้มีปัญหาเป็นแผลเป็น
Keloid
· ผลข้างเคียง
ส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง
และดีขึ้นได้เอง โดยจะพบผลข้างเคียงในการใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มากกว่าการใช้ด้านความงาม
เนื่องจากต้องใช้โบท็อกซ์ปริมาณสูงกว่า และโรคประจำตัวของคนไข้ที่มีมากกว่า
o
ผลข้างเคียงเล็กน้อย
: รอยช้ำ ปวด บวม บริเวณที่ฉีด อาการไข้ปวดเมื่อยคล้ายไข้หวัดใญ่ (Flu-like
symptoms)
o
ผลข้างเคียงที่ขึ้นกับเทคนิคและความชำนาญในการฉีดสารโบท็อกซ์
:
เปลือกตาตก คิ้วตก ซึ่งภาวะดังกล่าวข้างต้นอาจคงอยู่ได้ถึง 3 เดือน
o
อาการแพ้
: พบได้น้อย ส่วนมากเป็นผื่นแพ้ สำหรับอาการแพ้แบบรุนแรงเฉียบพลัน (anaphylaxis) พบได้ไม่บ่อย
o
ผลข้างเคียงอื่นๆ
ได้แก่ ปวดศีรษะ ติดเชื้อบริเวณที่ฉีด คิ้วโก่ง เปลือกตาม้วนออก ตาปิดไม่สนิท
ภาวะเยื่อตาและกระจกตาแห้ง
o
ถึงแม้ว่าตามการคาดการณ์สารโบท็อกซ์จะสามารถแพร่กระจายออกจากบริเวณที่ฉีด
หรือกระจายเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งจะนำมาสู่ผลข้างเคียงรุนแรงหากได้รับสารในปริมาณมาก
แต่โอกาสดังกล่าวเกิดได้น้อยมาก
· การใช้โบท็อกซ์ในด้านความงาม
อาจมีประเด็นเกี่ยวกับการบริหารยาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ถึงแม้ว่าสารโบท็อกซ์ที่ใช้จะมีปริมาณน้อย ผลข้างเคียงต่ำ แต่ผู้รับบริการก็ควรคำนึงถึงปัจจัยสำคัญในด้านคุณภาพ
ไม่ควรเชื่อเพียงข้อมูลจากการโฆษณา การประหยัดค่าใช้จ่าย หรือการชักชวนจากคนรู้จัก
เท่านั้น เพราะอาจได้รับการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานจาก ปัจจัยต่างๆ ดังนี้
o
สารโบท็อกซ์ปลอม
ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ผ่าน อย. เมื่อฉีดเข้าไปอาจตกค้างในร่างกายและเป็นอันตรายได้
o
ผู้ฉีดไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
อาจพบความผิดพลาดหรือผลข้างเคียงได้บ่อย
o
อุปกรณ์ไม่สะอาด
มีเชื้อโรคปนเปื้อน
o
ปริมาณในการฉีดไม่เหมาะสม
หากฉีดมากไปอาจทำให้กล้ามเนื้อฝ่อและผิดรูป
เพื่อป้องกันผลข้างเคียงซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ดังกล่าว
ผู้เข้ารับบริการควรเลือกพิจารณาจากคุณภาพของสารโบท็อกซ์ที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง
มีกระบวนการทำความสะอาดที่ได้มาตรฐาน
และเลือกใช้บริการจากแพทย์ที่ผ่านการฝึกฝนและมีความชำนาญ
· ความแตกต่างของสารโบท็อกซ์ยี่ห้อต่างๆ
กับภาวะดื้อโบท็อกซ์
ในปัจจุบันมีสารโบท็อกซ์ผลิตจากประเทศต่างๆ
ออกมาให้เลือกเป็นจำนวนมาก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน เกาหลี และจีน
เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีประสิทธิภาพ ความคงตัวของสารและราคาแตกต่างกันออกไป
ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์แต่ละตัวจะประกอบด้วยสาร Botulinum toxin ชนิดเดียวกัน แต่ด้วยกระบวนการผลิตที่แตกต่าง อาจมีการเติมสารบางชนิดลงไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโบท็อกซ์หรือเพื่อทำให้โบท็อกซ์คงตัวได้นานขึ้น
ทำให้ระดับความเข้มข้นของ Botulinum toxin
และส่วนประกอบอื่นๆ ในตัวสารต่างกัน ซึ่งมักพบว่าส่วนประกอบดังกล่าวเป็นโปรตีนแปลกปลอมต่อร่างกาย
เนื่องจากสารโบท็อกซ์นั้นตั้งต้นผลิตมาจากแบคทีเรีย
อาจนำมาซึ่งโอกาสที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสาร เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ขึ้นได้
ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดการสร้างภูมิต้านทานต่อสารโบท็อกซ์ได้มีหลายอย่าง
เช่น ส่วนประกอบประเภทโปรตีนในสารโบท็อกซ์ การใช้สารโบท็อกซ์ปริมาณมากในแต่ละครั้ง
การฉีดโบท็อกซ์ซ้ำบ่อยๆ และผู้รับบริการที่อายุมาก
อย่างไรก็ตาม
ข้อมูลงานวิจัยที่สามารถสรุปได้ว่าสารโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อ
กระตุ้นภูมิคุ้นกันอันนำไปสู่ภาวะดื้อโบท็อกซ์นั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีรายงานในผู้ป่วยกลุ่มเอเชียตะวันออกว่าพบภาวะดื้อโบท็อกซ์สูงถึงร้อยละ
10 ทั้งนี้ อาจเป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น
การใช้สารโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน สารโบท็อกซ์ที่ใช้ซึ่งอาจมีส่วนผสมของโปรตีนอยู่
ความนิยมในการฉีด
สารโบท็อกซ์ปริมาณสูงของชาวเอเชีย เนื่องจากหวังผลในการลดมวลกล้ามเนื้อเพื่อลดสัดส่วน
นอกเหนือไปจากการใช้
โบท็อกซ์ปริมาณน้อยๆ เพื่อลดริ้วรอย อายุของผู้รับบริการที่มากขึ้น เป็นต้น
เมื่อเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ขึ้นแล้ว การเปลี่ยนไปใช้สารโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นๆ
ก็มักไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน และต้องหยุดการฉีดสารโบท็อกซ์อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี
ทั้งนี้
แพทย์ควรให้คำแนะนำแก่ผู้รับบริการถึงปัจจัยต่างๆ
ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้อแก่ผู้รับบริการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่มีผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ให้เลือกอย่างหลากหลาย
และในราคาที่ถูกกว่าซึ่งอาจนำมาซึ่งการฉีดสารโบท็อกซ์ด้วยจำนวนครั้งหรือปริมาณที่มากขึ้น
ประกอบกับส่วนประกอบประเภทโปรตีนในสารโบท็อกซ์บางยี่ห้อที่อาจส่งเสริมกันทำให้เกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ได้มากกว่าผู้ที่ฉีดผลิตภัณฑ์ที่มีสารประกอบประเภทโปรตีนน้อย
หรือจำนวนครั้งที่น้อยกว่า
ถึงแม้ว่าสาร
Botulinum toxin ตั้งต้นจะถูกค้นพบว่าเป็นสารพิษต่อระบบประสาท
และก่อให้เกิดโรคร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้
แต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แพร่หลายทั้งในทางการแพทย์และด้านความงาม
เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และวิธีที่ถูกต้อง สำหรับในด้านการรักษา
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาข้อบ่งชี้ วิธีใช้และบริหารยาอย่างเหมาะสม
แต่ในด้านความงามที่ผู้บริโภคมีส่วนตัดสินใจเลือกใช้บริการโดยมีปัจจัยทั้งด้านราคา
การโฆษณา และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโบทอกซ์ แม้ว่าจะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงเนื่องจากใช้ในปริมาณที่น้อย
แต่เพื่อประโยชน์สูงสุดในการรักษาจึงควรพิจารณาถึงข้อควรระวังต่างๆ ด้วย
Reference
1. Durand
PD, Couto RA, Isakov R, Yoo DB, Azizzadeh B, Guyuron B, Zins JE. Botulinum
Toxin and Muscle Atrophy: A Wanted or Unwanted Effect. Aesthet Surg J. 2016 Apr;36(4):482-7. doi: 10.1093/asj/sjv208. Epub 2016 Jan 17. PMID: 26780946.
2. Padda
IS, Tadi P. Botulinum Toxin. 2021 Jan 31. In: StatPearls [Internet]. Treasure
Island (FL): StatPearls Publishing; 2021 Jan–. PMID: 32491319.
3. Park
JY, Sunga O, Wanitphakdeedecha R, Frevert J. Neurotoxin Impurities: A Review of
Threats to Efficacy. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2020 Jan
24;8(1):e2627. doi:
10.1097/GOX.0000000000002627. PMID: 32095419; PMCID: PMC7015620.
4. Satriyasa
BK. Botulinum toxin (Botox) A for reducing the appearance of facial wrinkles: a
literature review of clinical use and pharmacological aspect. Clin Cosmet
Investig Dermatol. 2019 Apr 10;12:223-228. doi: 10.2147/CCID.S202919. PMID:
31114283; PMCID: PMC6489637.
5. Witmanowski
H, Błochowiak K. The whole truth about botulinum toxin - a review. Postepy
Dermatol Alergol. 2020 Dec;37(6):853-861. doi: 10.5114/ada.2019.82795. Epub
2019 Feb 5. PMID: 33603602; PMCID: PMC7874868.
No comments:
Post a Comment